"เอ็มจี" เตรียมสร้างโรงงานแบตเตอรี่สำหรับรถไฟฟ้า จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ในพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK

Last updated: 2 พ.ค. 2566  |  250 จำนวนผู้เข้าชม  | 

"เอ็มจี" เตรียมสร้างโรงงานแบตเตอรี่สำหรับรถไฟฟ้า จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ในพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK

"เอ็มจี" เตรียมสร้างโรงงานแบตเตอรี่สำหรับรถไฟฟ้า จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ในพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK มูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาท

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จัดพิธีวางศิลาฤกษ์พื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK เตรียมพัฒนาพื้นที่ภายในโรงงานกว่า 75 ไร่ ให้เป็นพื้นที่พัฒนาชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ร่วมกับพาร์ทเนอร์ และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในอนาคต ด้วยงบลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาท ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตรถยนต์ เอ็มจี และจำหน่ายภายในประเทศไทย รวมทั้งการส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ มีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ได้ถูกพัฒนาให้ใช้งานได้แล้วกว่า 300 ไร่ ประกอบด้วย โรงงานประกอบตัวถัง (General Assembly Shop) โรงงานพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงผลิตตัวถัง (Body Shop) โดยไลน์ผลิตทั้งหมดประกอบไปด้วยเทคโนโลยีการติดตั้งหุ่นยนต์สำหรับใช้ในสายการผลิต เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนการควบคุมคุณภาพ และเสริมสร้างความปลอดภัยในสายการผลิต อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานและมลพิษต่างๆ เพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากไลน์การผลิตแล้วภายในพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจี ทุกรุ่น ซึ่งพื้นที่อีก 137.5 ไร่ที่เหลือ ในช่วงแรกจะถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ เพื่อให้รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ประกอบไปด้วย อาคารโรงงานสำหรับการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ รวมถึงไลน์การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของ เอ็มจี และพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับการประกอบรถยนต์เอ็มจีร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำ นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่ง

มร. จ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “ภายใต้ยุทธศาสตร์ ONE BELT ONE ROAD จากจีนเป้าหมายหลัก คือการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างจีน กับประเทศต่างๆ รวมถึงนโยบายการสนับสนุนการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งหนึ่งในโครงการที่สำคัญในการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมหลักของไทย คือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC (Eastern Economic Corridor) ของไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของไทยเทียบชั้นอุตสาหกรรมระดับโลก อีกทั้งยังถือเป็นการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติที่สำคัญ ทำให้ SAIC MOTOR CORPORATION และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้จับมือกันร่วมก่อตั้ง บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เพื่อผลิตรถยนต์แบรนด์ เอ็มจี ในประเทศไทย ด้วยการสนับสนุน จากหน่วยงานทุกภาคส่วน ทำให้แบรนด์ เอ็มจี สามารถเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้าชาวไทย ปัจจุบันมีรถยนต์ เอ็มจี วิ่งในท้องถนนแล้วกว่า 180,000 คัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอ็มจี ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยได้ตอบสนองแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศภายใต้โมเดล BCG หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ที่ผสมผสานการพัฒนา 3 ด้านหลัก คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ที่ถือเป็นวาระแห่งชาติปี 2564-2569 ของรัฐบาลไทย ด้วยการปฏิบัติตามนโยบายอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยให้เทียบชั้นระดับโลก จนถึงตอนนี้ เอ็มจี ได้กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีปริมาณการถือครองสูงสุดและเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีความหลากหลายที่สุดในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

ทั้งนี้ เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ รวมถึงสร้างประสบการณ์ใหม่ และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาสู่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงตัดสินใจสร้างพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK แห่งนี้ขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจาก SAIC MOTOR CORPORATION และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยสถานที่แห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 75 ไร่ และจะทำให้ชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ไฟฟ้าจาก เอ็มจี สามารถผลิตในประเทศ เพื่อเปิดศักราชใหม่ของ SAIC-CP 2.0”

ทั้งนี้ พื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK แบ่งเป็น 3 ระยะการก่อสร้าง โครงการระยะแรกตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมใช้งานภายในเดือนตุลาคม 2566 โดยมีมูลค่าการลงทุนสำหรับโครงการระยะแรกมากกว่า 500 ล้านบาท


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้