Last updated: 19 ก.พ. 2568 | 128 จำนวนผู้เข้าชม |
หลายคนอาจคิดว่าปัญหากระดูกเสื่อมเป็นเรื่องของคนที่อายุเยอะเท่านั้น แต่ความจริงแล้วใคร ๆ ก็มีโอกาสเป็นได้ ที่สำคัญเป็นเรื่องของความสะสมที่เกิดจากอริยาบถของการใช้งาน โดยเฉพาะ คนที่ชอบยกของหนัก ก้มตัวบ่อย ขยับคอมาก นั่งนาน น้ำหนักตัวที่มาก ก็จะเป็นตัวเร่งให้เกิด “โรคกระดูกสันหลังเสื่อม” ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดร้าวลงขา หนักที่สุดเส้นประสาทอาจถูกกดทับจนมีอาการอ่อนแรงหรือควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ เมื่อกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาทจนมีอาการอ่อนแรงเป็นเวลานาน แม้จะผ่าตัดรักษาก็ไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ดีเหมือนเดิม ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับโรคกระดูกสันหลังเสื่อม เพื่อให้เราได้เข้าใจแนวทางการดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรงไปนาน ๆ
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม” ไม่ใช่แค่การเสื่อมตามวัย
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม คือภาวะความเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น หรือการใช้งานหนักสะสมเป็นเวลานาน ซึ่งความเสื่อมของโรคนี้หมายถึงความเสื่อมของบริเวณตัวกระดูกสันหลังเอง หมอนรองกระดูก ข้อต่อ และเนื้อเยื่อเส้นเอ็นรอบกระดูกสันหลัง โรคกระดูกสันหลังเสื่อมพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุเริ่มตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการเสื่อมตามวัย แต่คนที่อายุน้อยก็เป็นโรคนี้ได้จากพฤติกรรมการใช้งานที่ไม่เหมาะสม เช่น ยกของหนักเป็นประจำ การขยับก้มเงยคอมาก ๆ หรือคนที่ชอบสะบัดคอบ่อย ๆ นอกจากนี้ ผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนกระดูกหักและต้องใส่เหล็กดาม ทำให้ตัวกระดูกข้างเคียงต้องรับน้ำหนักแทน ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ บางรายอาจมีการติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง แม้พบไม่บ่อย แต่ก็อาจนำไปสู่การเสื่อมได้เช่นกัน โดยการเสื่อมอาจใช้เวลา 5-10 ปี หลังเกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บก่อนจะเริ่มมีอาการ
ในปัจจุบันเนวทางการรักษามีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และบางคนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ ถือเป็นปัญหาด้านสุขภาพของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่ายได้เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย และยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล จึงเกิดความร่วมมือกันระหว่าง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาผลิตภัณฑ์ OSSICURE Bone Graft นวัตกรรมวัสดุทดแทนกระดูกสำหรับการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว
OSSICURE Bone Graft: ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยกระดูกสันหลัง
รองศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OSSICURE Bone Graft สอดคล้องกับพันธกิจของมหาวิทยาลัยมหิดลที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพของประเทศ การทดสอบทางคลินิกครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ สวทช. และศักยภาพด้านการแพทย์ของศิริราช ซึ่งมีบุคลากรและจำนวนผู้ป่วยที่เพียงพอสำหรับการทดสอบ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้งานวิจัยนี้ประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว
ด้านศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัญหาของโรคปวดข้อปวดหลังของกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะโรคหมอนรองกระดูกสันหลังอักเสบและเสื่อม เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของประชากรไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดคอและปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่จากสถิติพบว่ามีประชากรทั่วโลกกว่า 403 ล้านคน ที่ได้รับผลกระทบ และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากถึง 104 ล้านคน ส่วนใหญ่รักษาโดยแบบอนุรักษ์นิยม คือรับประทานยา กายภาพบำบัด การออกกำลังกาย มีส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดยึดด้วยโลหะเพื่อเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง ซึ่งในอดีตเราใช้กระดูกของผู้ป่วยเอง หรือนำกระดูกจากผู้บริจาคเข้ามา วิธีนี้มีข้อจำกัดทั้งเรื่องต้นทุน และอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาและทำให้คนไข้ฟื้นตัวช้าลง ปวดมากขึ้น และไม่สามารถทำการป้องกันได้ ที่ศิริราชเรามีศูนย์เนื้อเยื่อกรุงเทพ ซึ่งเป็นศูนย์เนื้อเยื่อหรือมวลแบงค์แห่งแรกของประเทศไทย
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน การพัฒนา OSSICURE Bone Graft จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์นี้สามารถ ใช้ทดแทนกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการศึกษาในห้องปฏิบัติการและสัตว์ทดลอง อย.รับรองแล้ว พบว่ามีความปลอดภัย และผลข้างเคียงใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก U.S. FDA ซึ่งนับจากนี้ทางโครงการจะดำเนินการทดสอบทางคลินิกเป็นระยะเวลา 3 ปี ใช้คนไข้ประมาณ 60 คน โดยการทดลองแบบสุ่มตัวอย่างเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้งานจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ และยังเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล และเรายังมีนวัตกรรมอื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง
รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของคนไทยส่งผลให้ปัญหากระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นในการรักษาด้วยการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาดังกล่าวยังมีข้อจำกัด ทั้งในเรื่องภาวะแทรกซ้อนและระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เอ็มเทค สวทช. จึงพัฒนา OSSICURE Bone Graft นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ฝังใน ที่ช่วยลดการใช้กระดูกของผู้ป่วยเอง เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน โดยได้รับความร่วมมือจากแพทย์และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน นอกจากนี้ นวัตกรรมดังกล่าวยังมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ
ในส่วนของการสนับสนุนด้านการแพทย์และการวิจัยจากหน่วยงานของเรามีหน้าที่ขับเคลื่อนโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งวิทยาศาสตร์จึ่งเป็นที่มางานวิจัยของ ดร. กตัญชลี ไม้งาม นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัย นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เอ็มเทค ที่พัฒนาเป็นผลงานวิจัย ซึ่งใช้ได้ดีในรูปของผลิตภัณฑ์ OSSICURE Bone Graft: ทางการแพทย์ รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า สวทช. มุ่งเน้นการพัฒนางานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญ เช่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2543 โดยมีผลงานสำคัญ เช่น การพัฒนาวัคซีนเด็งกี่ และชุดตรวจแยกซีโรทัยป์ของไวรัสเด็งกี่ ชุดตรวจภูมิแพ้กุ้ง งานวิจัยทางด้านพันธุกรรมของมนุษย์ งานวิจัยพื้นฐานทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยา Precision Medicine ใน Genomics Thailand เป็นต้น ทั้งนี้ ความร่วมมือได้รับการยกระดับผ่าน MU-NSTDA Research Consortium ที่มุ่งส่งเสริมงานวิจัยเชิงพาณิชย์ สาธารณะ และนโยบาย โดย OSSICURE Bone Graft เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาสู่ระดับอุตสาหกรรมและการใช้งานจริง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ
ความร่วมมือระหว่างเอ็มเทค สวทช. และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในการทดสอบทางคลินิกของ OSSICURE Bone Graft ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการรักษาให้กับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระการใช้กระดูกของผู้ป่วย แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากลต่อไป
18 ก.ย. 2567