Last updated: 5 มี.ค. 2568 | 47 จำนวนผู้เข้าชม |
อีกหนึ่งความสำเร็จของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีเขียว ของ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ จับมือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตั้ง Sustainable Business Desk ศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น สนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย BOI เผย ปี 2567 อนุมัติการลงทุนกลุ่ม BCG กว่า 230,000 ล้านบาท ตอกย้ำไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสีเขียวในภูมิภาค ขณะที่ EEC ตั้งเป้าดึงการลงทุน 150,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญ พร้อมขยายความร่วมมือสู่การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และผลักดันสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality (CN) และ Net Zero Emissions ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น
นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กรุงเทพฯ กล่าวถึง ศูนย์ฯ มีบทบาทช่วยภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมปรับตัวสู่ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านเทคโนโลยีและการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนผ่านงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 โดยได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ เช่น BOI และ EECO รวมถึงภาคเอกชน เช่น CP Group และ CPF ร่วมกับ Thermalytica พัฒนาเทคโนโลยีลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว PTTGC และ CBT/Toray นำเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพ มาผลิตเรซินและเส้นใยชีวภาพ เพื่อตอบโจทย์ Circular Economy BLCP Power และ Algal Bio ลงนามความร่วมมือในโครงการ Microalgae CCUS ใช้จุลสาหร่ายดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI ระบุว่า Sustainable Business Desk เป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการปรับตัวสู่ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ผ่านการลงทุน นวัตกรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ตามแนวทาง BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลไทย BOI ยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 อนุมัติ 939 โครงการ มูลค่ากว่า 230,000 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2561-2567 รวม 5,380 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.15 ล้านล้านบาท เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค BOI ยังเดินหน้าปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจสีเขียว เช่น การส่งเสริมการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ซึ่งเป็นเทรนด์ระดับโลก การพัฒนา Bio Hub ในภูมิภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบทางการเกษตร การปรับปรุงมาตรการ Smart & Sustainable Industry เพื่อช่วยภาคธุรกิจยกระดับการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และได้มาตรฐานความยั่งยืนระดับสากล BOI ยังคงทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับบทบาทของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในพื้นที่ EEC นั้น ดร.ชลจิต วรวังโส วีรกุล ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่าการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI ระหว่างปี 2561-2567 ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,823,805 ล้านบาท หรือประมาณ 52.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สัดส่วนเฉลี่ยการลงทุนในพื้นที่ EEC คิดเป็นร้อยละ 52 เทียบกับทั้งประเทศ
ในปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC นับจากการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI สูงถึง 374,407 ล้านบาทซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ EEC เมื่อปี 2561 โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2,425 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 110,681 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ 75,302 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG 27,609 ล้านบาท คลัสเตอร์อุตสาหกรรมบริการ 41,686 ล้านบาทและคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง 116,704 ล้านบาท
สำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติรายสำคัญในพื้นที่ EEC ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 12 ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในพื้นที่ EEC ระหว่างปี 2561-2567 โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนรวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ สำนักงาน EEC ตั้งเป้าหมายการลงทุนปี 2568 ไว้ที่ 150,000 ล้านบาท โดยในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566 - ปี 2570) ตั้งเป้าการลงทุนรวมไว้ที่ 500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG เช่น เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงานการผลิตพลังงานสะอาด เทคโนโลยีการติดตามและบริหารจัดการคาร์บอนในองค์กร ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและยังมีช่องว่างในการเติบโตที่สูงจึงเหมาะกับการจับคู่ทางธุรกิจให้เกิดการลงทุนใหม่โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัทญี่ปุ่นและใในอนาคตของความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมสีเขียว ขยายความร่วมมือจาก แค่ซื้อเทคโนโลยี ไปสู่การร่วมทุน (Joint Venture) ส่งเสริม การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน (Co-creation) เพื่อให้เกิดโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดไทยและอาเซียนรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ด้วย เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน พลังงานสะอาด และการจัดการคาร์บอน ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญของไทยและญี่ปุ่นในการ ผลักดันอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจต่อไป