"แมคฟิว่า" เตรียมจัดงาน SEAT Conference 2023 สุดยิ่งใหญ่ เผย 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023

Last updated: 12 มี.ค. 2566  |  675 จำนวนผู้เข้าชม  | 

"แมคฟิว่า" เตรียมจัดงาน SEAT Conference 2023 สุดยิ่งใหญ่ เผย 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023

"แมคฟิว่า" เดินหน้าจัดเตรียมจัดงาน SEAT Conference 2023 สุดยิ่งใหญ่ เผย 5 เทรนด์ เทคโนโลยีแห่งปี 2023 ชี้ Deep Tech เติบโตอย่างต่อเนื่อง ชวนภาคธุรกิจ-ผู้ประกอบการไทยร่วมงาน ในวันที่ 28-29 มี.ค.66 นี้ !!

เตรียมตัวให้พร้อมกับงาน SEAT 2023 : Southeast Asia Technology Conference 2023 งานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่รวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนระดับโลก รวมถึงผู้บริหารและเจ้าของกิจการระดับประเทศ หลังได้ผลตอบรับดีเกินคาด พร้อมเปิดโอกาสกระทบไหล่กันอย่างใกล้ชิด ในวันที่ 28-29 มีนาคม นี้ ณ Gaysorn Urban Resort – The Crystal Box กรุงเทพฯ โดยจุดเด่นของงาน SEAT Conference 2023 คือการรวบรวมเอาเทคโนโลยีแห่งอนาคตของทุกอุตสาหกรรมไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ClimateTech, Entertainment, Metaverse, FinTech,HealthTech, AgriTech, Venture Capital, FoodTech, Iot&Harware เป็นต้น

นางสาววรัชญา อุรุพงศา Chief Digital Officer (CDO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด กล่าวว่า “ในปีนี้ที่เราจัดงาน SEAT Conference 2023 อีกครั้ง เพราะเล็งเห็นถึงในเรื่อง Deep Tech ยังคงมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จึงทำให้มีเทรนด์เกิดขึ้นใหม่อย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่โอกาสในการสร้างธุรกิจแนวใหม่ รวมถึงมีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานก่อนที่จะเริ่มประชาสัมพันธ์จำนวนมาก จากทั้งผู้บริหาร ภาคธุรกิจ สตาร์ทอัพ และผู้สนใจในแวดวงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ยิ่งสะท้อนถึงผลตอบรับที่ดีจากปี 2022 รวมถึงภาพรวมของทุกภาคส่วนที่กำลังตื่นตัวกับการอัพเดตเทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกขณะนี้”

นางสาวพิรีญา วิริยะพันธุ์ Chief Operating Officer (COO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด กล่าวเสริมว่า “ด้วยเป้าหมายที่เราอยากผลักดันไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นท็อป 5 ของเอเชียในด้านเทคโนโลยีให้ได้ จึงคงคอนเซ็ปต์ของงานที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟแบบ Invited-Only โดยเราจะเชิญสุดยอดผู้บริหาร เจ้าของกิจการทั้งในและต่างประเทศและคัดเลือกจากกลุ่มเป้าหมายที่สมัครเข้ามา โดยเชื่อว่าหลังการจัดงานครั้งนี้เสร็จสิ้น น่าจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับ Tech Ecosystem ของภูมิภาค พร้อมทั้งช่วยให้ผู้บริหารไทยได้รับรู้ถึงมุมมองใหม่ๆที่อาจคาดไม่ถึง พร้อมรับมือกับ Global Technology ได้มากขึ้น”

ในส่วนของไฮไลท์วิทยากรระดับโลกที่จะเข้าร่วมงาน อาทิ

• Chris Teh ผู้ร่วมก่อตั้ง Blitzscaling Academy เจ้าของผลงาน Blitzscaling The Lightning-Fast Path to Building Massively Valuable Companies ‘กลยุทธ์เติบโตแบบสายฟ้าแลบ’

• Masaya Kubota Partner at World Innovation Lab (WiL) ผู้ลงทุน VC Fund อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท

• Gabe Sibley Founder and CEO ,Verdant Robotics ผู้นำการผลิตหุ่นยนต์ ที่จะทรานส์ฟอร์มวงการ AgriTech และสามารถระดมเงินทุนได้ไปกว่า 1,000 ล้านบาท

• Benjamin Rolnik Director, Stanford Healthcare Innovation Lab ผู้ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี ที่รักษาโรคได้อย่างแม่นยำ และเข้าถึงง่ายในราคาที่เข้าถึงได้

• Dr. Sebastian Rakers CEO, Bluu Seafood ผู้นำเทคโนโลยีที่คิดค้นการผลิตปลาทูน่าโดยที่ไม่ใช้เนื้อปลาแต่เป็นเพาะเซลล์

สำหรับไฮไลท์ของงาน SEAT Conference 2023 ที่พลาดไม่ได้ อาทิ

• World Class Speakers จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 30 ราย

• Invited Only Attendee ผู้ร่วมงานจะถูกเชิญเท่านั้น โดยเป็น Top tier executives ชื่อดังจากไทยและทั่วโลก

• Networking & Business Matching พูดคุยกับผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหลากหลายอุตหกรรม และโอกาสในการจับคู่ทางธุรกิจ

• จัดงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Denso, Gaysorn Group, RISE, SeaX Ventures

นอกจากนี้ภายในงานแถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงาน SEAT Conference 2023 ยังเปิดเวทีสัมมนา ภายใต้หัวข้อ “Tech Growth & Trends for 2023” และ "Deep tech ecosystem in Thailand and beyond” สรุป 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023 และทิศทางเทคโนโลยีพร้อมการรับมือสำหรับนักธุรกิจและสตาร์ทจากตัวจริงในวงการเทคโนโลยี ในงานแถลงข่าว SEAT Conference 2023 โดย นางสาววรัชญา อุรุพงศา Chief Digital Officer (CDO) บริษัท แมคฟิว่า จำกัด ได้เผยถึง 5 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งปี 2023 กับแนวทางปรับตัวของภาคธุรกิจ - ผู้ประกอบการไทย ดังต่อไปนี้

1.Artificial Intelligence (AI) And Machine Learning (Ml) ด้วยความพร้อมของข้อมูลและความต้องการระบบอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้น จะได้เห็นโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ MI มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ AI และ MI มาแรงในปีนี้ ได้แก่

- Healthcare ด้านการดูแลสุขภาพ มีการค้นคว้ายาเฉพาะบุคคล ความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคและรักษาผู้ป่วยมากขึ้น- SME ด้านธุรกิจ ในอนาคตเทคโนโลยีนี้ทำให้ไม่ต้องใช้แรงงานผู้คน Chatbot ที่มาตอบแทนคนจะฉลาดขึ้น การวิเคราะห์คาดการณ์หรือบริหารสต็อกได้ดีขึ้น รวมไปถึงระบบจะจัดการหลังบ้านให้ทั้งหมด
- Autonomous Vehicles จะเห็นได้จากยอดจองรถ EV เติบโตขึ้นมาก เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอัลกอริทึมที่นำมาใช้กับยานพาหนะจะดีขึ้นและการเชื่อมต่อระบบภายในจะสมูทขึ้น
- Education ด้านการศึกษา มีการปรับแต่งการเรียนรู้และปรับปรุงผลการเรียนของนักเรียนเฉพาะตามบุคคล มีการให้คะแนนอัตโนมัติ ครูและนักเรียนจะมีชีวิตที่ดีขึ้น การเรียนรู้จะสนุกขึ้น

2. 5G Network เครือข่าย 5G จะสามารถเชื่อมต่อไม่ติดขัดเมื่อย้ายไปมาระหว่างการเชื่อมต่อไร้สายภายนอกอาคารกับเครือข่ายไร้สายภายในอาคารโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องดำเนินการใด โดยจะมีอุปกรณ์และแอปพลิเคชั่นจำนวนมากขึ้นที่ใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตบนเครือข่าย 5G มาแรงในปีนี้ ได้แก่
- 5G Devices เมื่อเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากขึ้น เราคาดว่าจะเห็นการใช้งานอุปกรณ์ 5G เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตจะยังคงเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ที่รองรับ 5G และผู้บริโภคจะสามารถใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เร็วขึ้น
- New Use Case การเปิดใช้งานใหม่ที่เคยใช้ไม่ได้ก่อนหน้าปี 2023 เช่น แอปพลิเคชันความจริงเสริม (AR) และความจริงเสมือน (VR) เมืองอัจฉริยะ และยานพาหนะที่เชื่อมต่อถึงกัน
- Private 5G Network นอกจากเครือข่าย 5G สาธารณะแล้ว จะเห็นการใช้งานในองค์กรมากขึ้น เครือข่าย 5G ส่วนตัวช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต โลจิสติกส์ และการดูแลสุขภาพ เป็นต้น

3. Internet of things (IoT) โดยมีบ้านและธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อ สิ่งนี้จะสร้างโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงการดำเนินงาน ซึ่งในปัจจุบันอุตหกรรมที่ใช้อย่างเห็นได้ชัด คือ โรงพยาบาลใช้เซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นเพื่อตรวจสอบผู้ป่วยจากระยะไกล ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้นจากที่บ้านหรือทุกที่ที่เกิดขึ้น, เมืองอัจฉริยะ ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้เมืองทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น เมื่อใช้ IoT สัญญาณไฟจราจรและกล้องที่เชื่อมต่อกันจะสามารถรับรู้ได้เมื่อมีรถมากเกินไปและปรับสัญญาณไฟโดยอัตโนมัติเพื่อให้จราจรคล่องตัวได้ดี, การผลิตและอุตสาหกรรมลดการใช้พลังงานและให้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ มีแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ต้องมีการบำรุงรักษา เป็นต้น โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ IoT มาแรงในปีนี้ ได้แก่

- การใช้งาน IoT ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจและผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นต้องการใช้ประโยชน์เพื่อใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น สิ่งนี้จะขับเคลื่อนพัฒนาแอปพลิเคชัน IoT ใหม่
- การใช้ Edge Computing มากขึ้น เพื่อการประมวลผลข้อมูลที่เร็วขึ้นผ่านคราวด์ ปลอดภัยและรวดเร็ว
- Convergence ระหว่าง IoT และ AI : การใช้ AI สามารถช่วยปรับปรุงการประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล IoT เช่น การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการวิเคราะห์ตามเวลาจริง
- การพัฒนาแพลตฟอร์ม IoT มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น และจะทำไห้ IoT เติบโตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

-เน้นความปลอดภัยของ IoT ที่มากยิ่งขึ้น จะได้เห็นการพัฒนามาตรฐานและโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยบนบล็อกเชนและการตรวจจับภัยคุกคามบนพื้นฐาน AI เป็นต้น

4. Blockchain เทคโนโลยีบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จะเห็นกรณีการใช้งานในปัจจุบัน เช่น แอพ DeFi การเงินที่ไร้ตัวกลาง ทำธุรกรรมที่ปลอดภัยในขณะที่ขจัดการใช้ตัวกลางที่ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง เป็นการให้ยืม โอนเงินระหว่างประเทศ ลงทุน และใช้งานอื่นๆ อีกมากมาย, Healthcare บล็อกเชนเหมาะสำหรับการจัดเก็บบันทึกสุขภาพส่วนบุคคล แบ่งปันการเข้าถึงกับแพทย์และบริษัทประกันด้วยการทำธุรกรรมออนไลน์ง่ายๆ และแพทย์ที่ได้รับอนุญาตที่เหมาะสมสามารถเพิ่มข้อมูลใหม่ลงในบันทึกได้, Gaming การพัฒนาโลก Immersive และ Metaverse ใหญ่ๆ ที่ได้เบนเข็มเข้าสู่โลกแห่งเกมส์อย่างเต็มตัวในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี, Entertainment การซื้อ NFT แบบสะสมได้เพื่อสนับสนุนศิลปิน ในขณะที่ให้สิทธิ์แฟนๆ โหวตเพลงของทีมหรือที่นั่งพิเศษในกิจกรรมต่างๆ โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาแรงในปีนี้ ได้แก่

- การขยายตัวทางการเงิน (DeFi) เนื่องจากผู้คนจำนวนมากตระหนักถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจ เช่น ค่าธรรมเนียมต่ำ ธุรกรรมที่รวดเร็ว และการเข้าถึงทั่วโลก
- การยอมรับสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) เนื่องจากประเทศต่างๆ เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น
- NFTs เนื่องจากอุตสาหกรรมจำนวนมากตระหนักถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของการใช้ NFT สำหรับการเป็นเจ้าของดิจิทัลและการพิสูจน์ตัวตน หรือด้านการตลาดจะเห็นการนำไปใช้เป็นรูปแบบของ Membership หรือใช้เพื่อได้รับสิทธิพิเศษ

5. Augmented Reality (AR) And Virtual Reality (VR) AR เป็นเทคโนโลยีที่นำวัตถุ 3 มิติมาจำลองเข้าสู่โลกจริงของเราจะเห็นมีการนำมาใช้ในปัจจุบัน เช่น ใช้กับการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับ Location เช่น Pokemon GO หรือในพิพิธภัณฑ์ที่มีแสดงผลเป็นข้อมูลอธิบายเรื่องเล่าในงาน ส่วน VR นั้นเป็นเทคโนโลยีที่จำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือน โดยผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาได้ผ่านอุปกรณ์ เช่น ใช้ในการเล่นเกมส์ FPS (จำพวกยิงปืน) จะปืนจำลองให้ถือไปในระหว่างเล่น และ ตัวจำลองการเดินและวิ่งที่ผูกติดตัวเราไว้ คล้าย ๆ กับ Treadmill, ใช้ในการจำลองการฝึกขับเครื่องบินของกัปตัน, ใช้จำลองห้องภายในคอนโด เป็นต้นโดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ AR และ VR มาแรงในปีนี้ ได้แก่

- การเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมเกมและบันเทิง มีการพัฒนาระบบเกมให้สมจริงมากยิ่งขึ้น และความบันเทิงรูปแบบใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น
- ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ มีการจำลองการผ่าตัดได้จากทางไกลและส่งข้อมูลวิธีการรักษาได้แบบเรียลไทม์
- การเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นจากสมาร์ทโฟน การพัฒนาที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากในการหาซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมอีกต่อไป แต่สามารถใช้งาน AR&VR ได้ทันทีผ่านโทรศัพท์มือถือ
-ความก้าวหน้าของอุปกรณ์สวมใส่ ในอนาคตแว่นตาสำหรับสวมใส่เพื่อเทคโนโลยี AR & VR อาจถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น
- การเติบโตอย่างต่อเนื่องของแอปพลิเคชันระดับองค์กร ในอนาคตอันใกล้นี้เทคโนโลยี AR & VR จะมีส่วนในการพัฒนาองค์กรมากยิ่งขึ้นจนส่งผลให้ หลายธุรกิจและองค์กรเริ่มนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตน

กล่าวโดยสรุปก็คือ เทรนด์เหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยเพื่อสร้างประโยชน์มากมายในหลากหลายอุตสาหกรรมและธุรกิจ SME

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้